5. สอบถามข้อมูลอื่นๆจากตัวแทนประกันและบริษัทประกัน เช่น กรณีที่เราต้องจ่ายเงินสำรองไปก่อนบริษัทเราจะสามารถเคลมค่าใช้จ่ายได้ภายในกี่วันเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงินของเรา
6. ควรซื้อประกันที่ครอบคลุมผู้ป่วยนอกด้วย ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับความคุ้มครองและชดเชยค่ารักษาในกรณีที่ไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ในการทำประกันต้องไม่มีการปกปิดข้อมูลและให้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงไปตรงมา เพราะถ้าหากบริษัทล่วงรู้ขึ้นมา เราจะไม่ได้รับความคุ้มครอง หรืออาจต้องเพิ่มเบี้ยประกันเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถรับประกันได้ ดังนั้นเราจึงควรทำประกันสุขภาพตั้งแต่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่เพราะบริษัทประกันจะเอาสุขภาพและอายุเป็นสำคัญ ถ้าหากคุณเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีโรคประจำตัวไปแล้ว บริษัทประกันชีวิตจะไม่คุ้มครองยกเว้นการเจ็บป่วยๆเล็กๆน้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์นั้นๆ รวมทั้งควรพิจารณาซื้อประกันอุบัติเหตุที่มีความคุ้มครองครอบคลุมถึงภาวะที่อาจเกิดพิการด้วยก็จะดีมาก โดยค่าสินไหมทดแทนจะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงสูงสุดไม่เกินจำนวนเงินที่เอาประกันไว้นั่นเอง เท่านี้ในยามฉุกเฉินเราก็สามารถเคลมกับทางประกันและรับผลประโยชน์ตามความคุ้มครองได้แล้วครับ
นอกจากประโยชน์ด้านค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแล้ว การทำประกันยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 25,000 บาทและเมื่อรวมกับเบี้ยประกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยเราสามารถแจ้งสิทธิ์กับทางบริษัทประกันชีวิตให้สามารถเปิดเผยข้อมูลกับกรมสรรพากรได้โดยไม่ต้องใช้เอกสาร แล้วจึงทำเรื่องลดหย่อนได้เลยครับ
ดังนั้นเราจะประมาทในชีวิตไม่ได้ แม้การทำประกันอาจจะต้องมีการเสียเบี้ยประกันเปล่าไปบ้าง แต่ในยามที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บฉุกเฉินการทำประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเรา