เงินที่ประกันสังคมใช้จ่ายเพื่อสิทธิประโยชน์
มาจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ซึ่งทั้ง 2 กองทุน
คือ หลักประกันแก่ผู้ประกันตนให้ได้รับประโยชน์ทดแทน
ต่างกันที่ที่มาของเงินและความครอบคลุมในการคุ้มครองเท่านั้น
กองทุนประกันสังคม นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยคำนวณจากค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับ กำหนดฐานค่าจ้างขั้นต่ำที่ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท โดยรัฐบาลจะออกเงินสมทบเข้ากองทุนด้วยส่วนหนึ่ง
สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมที่ลูกจ้างจะได้รับจะมี 7 กรณี ได้แก่
(1) ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
(2) คลอดบุตร
(3) ทุพพลภาพ
(4) ตาย
(5) สงเคราะห์บุตร
(6) ชราภาพ
(7) ว่างงาน
กองทุนเงินทดแทน คือ กองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โดยนายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเงินทดแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว
สิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทนที่ลูกจ้างจะได้รับจะมี 4 กรณีได้แก่
(1) ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
(2) ทุพพลภาพ
(3) ตายหรือสูญหาย
(4) สูญเสียอวัยวะ
เพราะประกันสังคมไม่ได้ครอบคลุมแค่กลุ่มมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น
แต่แบ่งออกเป็น 3 มาตราหลักที่มอบสวัสดิการให้คนทำงานแต่ละกลุ่ม
แตกต่างกันดังนี้
มาตรา 33 คือ ลูกจ้างผู้ซึ่งทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ได้รับความคุ้มครอง 7 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ ว่างงาน
มาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ โดยเป็นบุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จ่ายเงินสมทบก่อนออกจากงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนแล้วลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน แต่ต้องการรักษาสิทธิประกันสังคม โดยได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ
ตกงาน ลาออก เลิกจ้าง หรือออกเพราะโควิด ก็ยังมีสิทธิ์ประกันสังคมดูแลอยู่!
บุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบก่อนออกจากงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
แล้วลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ลาออก
และต้องการรักษาสิทธิประกันสังคม สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจมาตรา 39 ได้
โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับมี 6 กรณี ได้แก่
(1) ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
(2) คลอดบุตร
(3) ทุพพลภาพ
(4) เสียชีวิต
(5) สงเคราะห์บุตร
(6) ชราภาพ